วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

.::อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4::.
     อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 (ในภาษาจีน 四霛/四灵 [Ssu Ling]; ในภาษาญี่ปุ่น 四神 [ชิชิน]) เป็น อสูรทั้ง 4 ตามเทพนิยายจีนซึ่งทำหน้าที่ปกครองทิศทั้ง 4 บนสวรรค์ และเทพอสูรแต่ละองค์จะประกอบด้วยกลุ่มดาว 7 กลุ่ม นอกจากนั้นเทพทั้ง 4 ยังเป็นตัวแทนธาตุหลักตามตำราจีนด้วย ซึ่งนำเอาใช้ในตำราแพทย์ของจีน รวมถึงศิลปะการต่อสู้อีกด้วย (คุ้นๆกันในเบเบรดมั้ยเอ่ย?? ^^)

อสูรทั้ง 4
1. มังกรฟ้า 
     มังกรฟ้า 青龍(ชิงหลง ในภาษาจีน เซริว ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ชุง รวอง ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันออก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิ สีประจำคือสีฟ้า (หรือเขียว) เป็นอสูรธาตุไม้ แสดงถึง คุณงามความดี ความเหมาะสม ความสงบสุขและมั่นคงของบ้านเมือง (ควบคุมดินฟ้าอากาศ และ เป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ) มักถูกใช้เป็นขั้วตรงข้ามกับ หงส์แดง (ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งจักรพรรดินี ตามความเชื่อของญี่ปุ่น)
     .::Seiryuu มังกรฟ้า(หรือมังกรคราม,น้ำเงิน)
   สวรรค์ธาตุไม้สัญลักษณ์คือ☴巽 xùn (ความอ่อนโยน) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันออกเฉียงใต้
  พิภพธาตุไม้สัญลักษณ์คือ ☳ 震 zhèn (ปลุกใจ) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันออก
(**บางเว็ปบอกว่าเป็นธาตุน้ำ) 
2.หงส์แดง

    หงส์แดง 朱雀(จูเชว่ ใน ภาษาจีน ซูซาคุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ จู จัก ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศใต้ ตัวแทนแห่งฤดูร้อน สีประจำคือสีแดง เป็นอสูรธาตุไฟ ถูกจับคู่กับมังกรฟ้า ในฐานะความสมดุลตามธรรมชาติความสุขในการสมรสเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ แสดงถึงความรู้ หงส์แดงถูกสื่อผ่านขนสีเพลิงที่ส่องสว่าง พร้อมกับเสียงขับขานอันน่าหลงใหล ซึ่งจะปรากฏตัวในยามมงคลเท่านั้น ซึ่งในพระราชวังของญี่ปุ่นมีรั้วที่สร้างสิริมงคลอย่าง ซูซาคุมง หรือ รั้วหงส์แดง ด้วย
    .::Suzakuหงส์เพลิง(หงส์แดง)
 สวรรค์ธาตุไฟสัญลักษณ์คือ ☲ 離 lí (จงรักภักดี) ทิศตามอี้จิงคือ ใต้
 พิภพธาตุดินสัญลักษณ์คือ ☷ 坤 kūn (เปิดใจกว้าง) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันตกเฉียงใต้
3.พยัคฆ์ขาว
    พยัคฆ์ขาว 白虎(ไป๋หู่ ในภาษาจีน เบียคโกะ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ แบค โฮ ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันตก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นอสูรธาตุโลหะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลุมศพตามตำราจีน จากเหตุการณ์พิธีศพ ของจักรพรรดิจีน สัญลักษณ์ของธาตุโลหะถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของ เทพอสูรพยัคฆ์กำลังก้มเคารพศพของจักรพรรดิ พยัคฆ์ขาวเป็นเทพอสูรแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมถึงเป็นราชันย์แห่งขุนเขาด้วย เครื่องประดับหยกที่ทำเป็นรูปเสือก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการรบและการทหารด้วย นอกจากเสือจะเป็นเทพอสูรที่คอยขับไล่เหล่าศัตรูของจักรพรรดิจีน แล้วยังคอยขับไล่ภูตผีปีศาจไม่ให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองอีกด้วย
    .::Byakoสมิงขาว (เสือขาว) สวรรค์ธาตุทองสัญลักษณ์คือ ☰ 乾 qián (สร้างสรรค์) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันตกเฉียงเหนือ
 พิภพธาตุทองสัญลักษณ์คือ ☱ 兌 duì (สนุกสนาน) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันตก
 
(**บางเว็ปบอกว่าเป็นธาตุลม)
4.เต่าดำ
    เต่าดำ 玄武(เฉวียนอู่ ในภาษาจีน เกนบุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ฮยุน มู ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศเหนือ ตัวแทนฤดูหนาว เป็นอสูรธาตุน้ำ (ในบางครั้งรวมธาตุดินเข้าไปด้วย) เทพอสูรตัวนี้ถูกสื่อออกมาในรูปของเต่าสีดำที่ถูกพันรอบด้วยงู เป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธ ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข มีความเชื่อว่าถ้าเทพอสูรเต่าอายุถึง หนึ่งพันปี จะสามารถพูดภาษาคนและทำนายเหตุการณ์อนาคตได้ กล่าวกันว่ากระดองของเต่าสื่อถึงหลังคาแห่งจักรวาล เทพอสูรตัวนี้มีสัญลักษณ์เป็น เต่า และมีสีดำ รวมถึงประจำทิศเหนือซึ่งถือว่าเป็นทิศที่ไม่ค่อยมงคลสำหรับชาวจีน ก็เพราะ คำว่าเต่าในภาษาจีน มีความหมายในแง่ลบ
    .::Genbu เต่าดำ
  สวรรค์
ธาตุน้ำสัญลักษณ์คือ ☵ 坎 kǎn (น้ำลึก) ทิศตามอี้จิงคือ เหนือ
 พิภพธาตุดินสัญลักษณ์คือ ☶ 艮 gèn (นิ่งเฉย) ทิศตามอี้จิงคือ ตะวันออกเฉียงเหนือ

มังกรทอง


    มังกรทอง 黃龍หรือ ฮวงหลง ในบางตำราเป็นตัวแทนของ ธาตุดิน และประจำอยู่จุดศูนย์กลางของสวรรค์
     ตามตำราของญี่ปุ่น เทพอสูรทั้ง 4 เป็นตัวแทนของธาตุของศาสนาพุทธตามตำราญี่ปุ่น โดยที่
     มังกรฟ้า - ธาตุน้ำ     หงส์แดง - ธาตุไฟ
     พยัคฆ์ขาว - ธาตุลม     เต่าดำ - ธาตุดิน
     จุดศูนย์กลาง - ความว่างเปล่า
***ข้างล่างเป็นความแตกต่างเล็กน้อยจากด้านบน ซึ่งธาตุบางธาตุบางธาตุไม่เหมือนกัน***

    Seiryuu(青竜/青龍) คือ มังกรฟ้า ประจำทิศตะวันออก มีความเกี่ยวเนื่องกับ ฤดูไบไม้ผลิ มีสีฟ้าอมเขียวธาตุไม้สามารถทำให้ฝนตกได้ และเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์
    Suzaku(朱雀) คือ หงส์แดง(นกสีแดง) ประจำทิศใต้ มีความเกี่ยวเนื่องกับ ฤดูร้อน มีสีแดงเพลิงธาตุไฟมีความสัมพันธ์กับ Seiryuu
    Byako(白虎) คือ สมิงขาว ประจำทิศตะวันตก มีความเกี่ยวเนื่องกับ ฤดูใบไม้ร่วง มีสีขาวธาตุทองในจีนจะรู้จักในนาม เทพเจ้าแห่งสงคราม
    Genbu(玄武) คือ นักรบแห่งความมืด ประจำทิศเหนือ มีความเกี่ยวเนืองกับ ฤดูหนาว มีสีดำธาตุน้ำมักจะพบเห็นในภาพของเต่าที่มีงูพันอยู่รอบตัว


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=66#ixzz1HKoLt2TN
.::แมนเดรก::.

แมนเดรก Mandrake หรือ แมนดราโกร่า Mandragora
    แมนเดรก(Mandrake) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แมนดราโกร่า Mandragora อยู่ในตระกูล Solanaceae รากของแมนเดรกมีลักษณะคล้ายมนุษย์ จึงถูกนำมาใช้ในเรื่องพิธีการเวทมนตรต่างๆ และปรากฏอยู่ในตำนานและนิยายหลายเรื่อง
    แมนเดรกมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงเวลามันถูกทำให้ตกใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องของแมนเดรกมีโอกาสถึงตายได้ แต่ในขณะที่แมนเดรกยังเป็นต้นอ่อนอยู่ เสียงร้องของมันจะเพียงแค่ทำให้สลบเท่านั้น เชื่อกันว่า น้ำยาที่สกัดได้มาจากต้นแมนเดรกสามารถลบล้างคำสาปได้แทบทุกชนิด
    แมนเดรกเป็นที่รู้จักกันดีจากนิยาย โดยเฉพาะเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ถ้ายังนึกกันไม่ออกก็ไปหา MXO อ่านกัน ตัวที่อยู่กับคุซึมิที่ชื่อว่า "ลูซี่" อ่ะ)


(ว้า.. ลูซี่จังไม่มีสีอ่ะ)

        เรื่องราวของพืชชนิดหนึ่งที่ปรากฏในนวนิยายเกี่ยวกับเวทมนต์ ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกทั้งยอดพิมพ์หนังสือที่มีคนจองอย่างล้นหลาม แม้นำมาสร้างภาพยนต์ ก็ทำรายได้อย่างถล่มทลาย เห็นจะมีเรื่องแฮรี่พอตเตอร์นี่ละที่สร้างประวัติศาสตร์แก่วงการมายิกอย่างมาก ท่านที่เป็นแฟนนวนิยายเรื่องนี้คงจะรู้จักเจ้าพืชประหลาดชนิดหนึ่งที่ส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว ที่เหล่าพ่อมดน้อยใหญ่อยากได้มาทำเครื่องปรุงทางมายิก (ไสยศาสตร์ )โดยพืชชนิดนี้มีลักษณะ ที่แปลกประหลาดคือมีรากที่มีลักษณะเหมือนคนซึ่งอันที่จริงก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะเราก็พบเห็นโสมคนที่ขึ้นชื่อเป็นยา บำรุงกำลังชั้นหนึ่ง และมีราคาที่แพงแสนแพงถ้าเป็นโสมคนที่ขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาสูง ในยุทธจักรนิยายก็จะเห็นได้อยู่หลายเรื่องที่อ้างสรรพคุณสมุนไพรวิเศษ ที่มีสรรพคุณสุดวิเศษที่อาจรักษาพิษร้ายที่ซือตี๋ ซือหมวยไปโดนฝ่ายผู้ร้ายทำเอา จนน่าสนุกตื่นตาตื่นใจสำหรับในศาสตร์มายิกตะวันตกก็มีเรื่องพืชที่มีรูปร่าง คล้ายมนุษย์ซ้ำยังมีสรรคุณสุดพิเศษ ที่เน้นผลทางมายิกได้เช่นกันซึ่งเรื่องนี้เป็นตำนานเก่าแก่ของทางฝ่ายตะวันตกเขาที่มีมานานหลายร้อยปี เช่นกัน
    




        ชื่อสมุนไพรที่ว่า “แมนเดรก” (mandrake) หรือแมนเดร็กโกรานั้นทางมายิกตะวันตกหมายถึงพืชชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ ทางเสน่ห์ยั่วยวน โดยมีลักษณะเประหลาดแตกแขนงออกคล้ายร่างมนุษย์ เป็นพืชที่มีฤทธิ์สามารถทำให้จิตหลอนได้และจิตรกรของชาวยุโรปมักเขียนรูปพืชชนิดนี้เป็นแบบ สัตว์ในเทพนิยายหรือบางทีก็เข้าลักษณะของปีศาจไปก็มี เนื่องจากเชื่อว่าเวลาที่พืชชนิดนี้ถูกถอนออกจากพื้นดินที่มันอยู่ก็จะส่งเสียงกรีดร้องจนทำให้ คนที่ถอนมันถึงแก่ความตายได้
       การจะถอนเเมนเดรกได้นั้นก็ต้องอาศัยสุนัขเท่านั้นในการดึงรากมันขึ้นมาเมื่อเก็บขึ้นมาได้แล้วบรรดาคุณพ่อมดและ เเม่มดทั้งหลายจะนำมาใช้ในการให้ผลทางมายิกอย่างน่าอัศจรรย์ โดยรากของมันเป็นทั้งยาปลุกกำหนัดและยาเสพติด นอกจากนี้ส่วนอื่นๆของเมนเดรก ก็มัก ใช้กระทำในสิ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างดอกและน้ำที่คั้นจากรากถูกใช้เป็นยาเสน่ห์ ในขณะลำต้นใช้เคียวเหมือนชะเอม ซึ่งเจ้าชะเอมนี่ก็เป็นพืช ที่กระตุ้นอารมณ์เพศได้หากใช้เป็น และคงเช่นเคยด้วยจรรยาบรรณพ่อมด ก็คงบอกไม่ได้นะจะว่าเขาทำกันอย่างไร มันบาป เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน คุณสมบัติทางมายิกส่วนใหญ่ของพืชชนิดนี้มักใช้ออกผลร้ายๆปรากฏในมายิกโบราณ หลายรูปแบบ อย่างในแถบอาหรับ เรียกพืชชนิดนี้ว่า “เทียนแห่งปีศาจ”หรือในเยอรมันนี เรียกว่า “รากหมอแห่งคุณไสย”      
        พืชชนิดนี้เคยถูกห้ามมีไว้ในครอบครองในยุคป่าเถื่อนของยุโรปที่มีการล่าพ่อ มดแม่มด ก็เคยมีคนถูกลงโทษถึงประหารเพียงพบว่ามีชิ้นส่วนพืชชนิดนี้อยู่ในครอบครอง แม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น...
  

       รากของแมนเดรกนี้ค่อนข้างหายาก และมีราคาแพงทั้งสมัยโบราณก็ว่าผิดกฏหมาย จากถิ่นกำเนิดของมัน ที่อยู่แถบเมดิเตอร์เรเนียน จึงอาจมีการดัดแปลงเอาพืชชนิดอื่นทดแทนอย่าง ไวท์ ไบรโอนี ซึ่งมักนิยมเพราะ ราคาถูกและรูปร่างเหมือนแมนเดรก ซึ่งสรรพคุณอาจไม่เหมือนเพราะเป็นแค่ยาถ่าย อย่างแรงเท่านั้น
   
          เรื่องของแมนเดรกคว้าเอามาเล่านี่ ก็เป็นการยืนยันประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องว่านยาว่ามีการใช้ประกอบ ความเชื่อที่พบเกือบทุกที่ในโลกและออกจะคล้ายๆกันราวกับมีที่มาของความรู้นี้จากแหล่งเดียวกัน ซึ่งในเมือง ไทย นี้ก็มีพืชที่มี สรรพคุณทางมายิกอยู่มากและเล่นหากันอย่างกว้างขวางก็คือ “ว่าน” นั่นเอง
       ซึ่งจากการ ที่คุยกับตาหมอเฒ่าพบว่ามีมากกว่าสามร้อยชนิด โดยความรู้เรื่องว่านเมืองไทยนี้ปัจจุบันหาคนรู้ลึกจริงๆยาก นอกจาก ตาหมอเฒ่าเพื่อนเกลอแล้วก็คงเหลือไม่กี่คนว่านนั้นมีผลทางเสริมส่งอำนาจมายิกอย่างดีทั้งมี ลักษณะ ที่มีวิญญาณครองในสมัยโบราณคนเล่นว่านหรือเครื่องยามายิกต้องวิชาถึงขั้นไม่งั้นโดนว่านหรือ พืช อาถรรพ์อย่างเจ้าเมนเดรกนี่เล่นงานเอาพังพาบง่ายๆ อย่างว่านยาไทยที่มีสรรพคุณวิเศษหลายชนิดได้หดหาย ไปด้วยองค์ ความรู้ไม่ถูกสืบทอดบอกไปจนบางคนอาจคิดว่ามีด้วยหรือ? บางคนก็ว่าเพ้อฝันเป็นตำนาน  
 
        " อย่าง เมื่อก่อน ว่านบางชนิดต้องคนมี อาคมเท่านั้นที่จะเข้าใกล้ได้เพราะอาถรรพ์แรงเหลือใจ บางชนิดต้องเลี้ยง ด้วยเลือด หรือสัตว์เป็นอย่างกบ เขียด เช่น
    -ว่าน โพรง
ซึ่งดูตามเรื่องก็ออกจะมีลักษณะคล้ายเจ้าแมนเดรกนี่ เหมือนกันที่ราก(หัว)ของมันก็ดูคล้ายคน ว่านโพรงนี่มีสรรพคุณทางคุณไสยเหมือนเลี้ยงภูตผีใช้ไปทำงาน ได้ต้านทานอาคมได้ดี จึงนิยมในระดับพ่อมดดำที่แก่กล้า การเลี้ยงว่านนี้ ต้องระวังเพราะ เผลอเมื่อไหร่มันเล่น เอางอมพระราม
        และว่านอีกหลายชนิด เช่น
   -ว่านตัดเงาต้องเลี้ยงในที่มืดเพราะเงาของว่านทาบทับเงาเราเมื่อ ใดเป็นได้เรื่อง
    -ว่านฟ้าร้อง ว่านกระสือ ว่านกระจายเครือ ว่านสะเด้าที่
ห้ามเข้าใกล้เกินกว่าสองวาเพราะจะโดน ว่านตอดจนตายต้องรอว่านทิ้งใบฝังหัวจึงขุดมา "

         คนที่รู้เรื่องเหล่านี้ก็จะใช้พืชพวกนี้สร้างแนวป้องกันอาณาเขตของตนป้องกัน พวกบุกรุก (หารายละเอียด - ที่ตาหมอเฒ่า) สำหรับพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าพืชแมนเดรกนี่ก็มีเฉพาะเหมือนกัน นอกจากจะใช้สุนัขถอนต้น เเล้วยังมีพิธีเฉพาะคุณพ่อมดหมอผีอีกมากมายก่ายกอง ทั้งยังใช้กับพืชมายิกชนิดอื่นๆ ได้อีกแบบดัดแปลงกันไปปัจจุบันมีพืชบางชนิดที่เรียกแมนเดร็กเหมือนกันแต่ ต่างจากตำนานราวฟ้ากับดินเพราะเป็นเเค่ไม้ประดับอย่างหนึ่งเท่านั้น...


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=67#ixzz1HKoFAxva
.::UNDINE::.


    จากตำนานติวตอนิคUndine เป็นพรายน้ำเพศหญิง ที่ชอบติดต่อ มีสัมพันธ์กับมนุษย์พวกเธอมักจะแอบเข้ามาอยู่ในสังคมร่วมกับมนุษย์ บางครั้งก็จะมาเข้าร่วมงานเต้นรำ หรือสังสรรค์ตามหมู่บ้านต่างๆแถบชนบท 

    Undine ถูกทำให้กำเนิดขึ้นโดยปราศจากวิญญาณโดยการที่ได้แต่งงานและมีบุตรร่วมกับบุคคลที่มีชีวิต เธอจะได้วิญญาณมาครอบครอง และสร้างความเจ็บปวดและกลายเป็นบทลงโทษของเผ่าพันธ์มนุษย์...


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=64#ixzz1HKo82KAw
นกอินทรียักษ์ Thunderbird
 

    นกอินทรียักษ์มาจากตำนานของพวกอินเดียแดงทางฝั่งอเมริกันมีสิ่งพิเศษนอกจากจะเป็นนกยักษ์คือมีสายฟ้าสะท้อนมาจากจงอยปากอันคมกริบ เมื่อไรที่มันตีปีกแล้วละก็ จะทำให้เกิดสายฟ้าซึ่งมีพลังมหาศาลสามารถทำลายทุกสิ่งรอบตัวลงไปได้ทีเดียวลักษณะทั่วไปคล้ายนกอินทรีสีน้ำตาล ปลายปีกออกสีเลื่อมทองอาศัยอยู่บนยอดเทือกเขาสูงเป็นเชิงผา บางครั้งรูปร่างก็คล้ายเยี่ยวสีน้ำตาล
     เรื่องราวของวิหคสายฟ้า, นกยักษ์ หรือ The Giant Birds, Thunder Birds นั่นเอง ตามที่เคยบอกกล่าวกันไว้ว่าจะนำเสนอเรื่องของวิหคสายฟ้าที่ไม่ใช่ไดโนเสาร์ดูบ้าง ก็เลยออกมาเป็น “ตำนานวิหคสายฟ้า” นี่ล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็เชิญรับชมกันได้เลย
    ถ้าจะกล่าวถึงตำนานเรื่องเล่าแปลกๆที่เกี่ยวกับเรื่องของประหลาด, ลึกลับและหายากของโลกทางตะวันตกแล้วละก็ จะต้องมีเรื่องของเจ้านกยักษ์หรือวิหคสายฟ้านี่รวมเข้าไปอยู่ด้วยละนะด้วยเรื่องราวอันพิลึกพิลั่นที่เกี่ยวกับนกที่มีขนาดยักษ์ใหญ่เกินธรรมดานี้นั้นนับเป็นอีกหนึ่งบทหน้าตำนานเรื่องแปลกที่มีการเล่าขานต่อกันมาอย่างยาวนานอยู่
     โดยเฉพาะที่อเมริกาเหนือที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวนกยักษ์ โดยจากเวลาก่อนที่คนขาวจะเดินทางมาถึงยังดินแดนแห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมเริ่มแรกนั้นเป็นตำนานของชาวอินเดียนแดงเผ่าเพลน (Plains Indians) และแพร่ไปจนถึงชนเผ่าอินเดียนแดงทางมหาสมุทรแปซิฟิคทั้งเหนือและใต้ ก็มีเรื่องเล่าของนกยักษ์เหล่านี้เช่นกัน...

   ถ้าว่ากันถึงชื่อของนกยักษ์แล้ว แน่นอนว่าที่มาของมันนั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนถึงได้ขนานของมันกันเช่นนี้ จากตำนานและข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของวิหคสายฟ้านี้นั้นกล่าวว่าเมื่อยามมันบินอยู่บนท้องฟ้าปีกของมันสามารถที่จะกลบแสงอาทิตย์ได้เลยหรือยามมันอยู่บนผืนดินนั้น ความกว้างของปีกเมื่อสยายเต็มที่แล้วสามารถที่จะโอบคนได้ถึง 20 คนเลยทีเดียว
     จากบันทึกได้ประมาณขนาดปีกของเจ้านกยักษ์วิหคสายฟ้านี้เอาไว้ว่าความกว้างของปีกทั้งสองเมื่อกางเต็มที่แล้วจะมีขนาด 20-40 ฟุต (6-12 เมตร) หรืออาจจะมากกว่านั้น ทั้งยังขนาดลำตัวที่ยักษ์ใหญ่กว่านกธรรมดาทั่วไปอีกต่างหาก และเล็บที่คมกริบดุจตะขอกับจงอยปากที่คมกริบดุจดังมีดโกน ประหนึ่งดุจดังเพชฌฆาตที่บินได้ นี่ก็ทำให้มันเป็นที่เกรงขามแก่บรรดาผู้คนอย่างมากทีเดียว...


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=63#ixzz1HKo0u3Bt
--The DragoN--

    มังกรที่เป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งมาจากภาษาละตินว่า Dracoเป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดีมังกรเป็นสัตว์อันตราย และน่าสพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ จึงมักเป็นศัตรูตัวฉกาจ ของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลายการฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์ ดูจะเป็นสูตรสำเร็จของมหากาพย์โบราณมังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ขององค์กษัตริย์ทั้งที่มีตัวตนจริงๆ และกษัตริย์ในตำนานต่างๆ 
     เช่นกษัตริย์อาเธอร์ซึ่งมีนามสกุลว่า 'Pendragon' อันมีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' มงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ ถูกออกแบบเป็นรูปมังกร กล่าวกันว่าหินวิเศษ หรือ draconite คือสิ่งที่อยู่ภายใน ศีรษะของมังกรสิ่งที่อยู่ในหัวมังกรคือหินวิเศษแต่มันจะไม่เป็นหินถ้าไม่ ผ่าเอาออกมาขณะที่มังกรยังมีชีวิตอยู่เมื่อใดที่มังกรเสียชีวิต ความแข็งของหินนั้นก็จะหมดไป พร้อมกับชีวิตของมังกรด้วย

     ผู้ที่มีความกล้าหาญมากๆ จะออกสืบเสาะหาถ้ำมังกร และจะเฝ้าคอยจนกระทั่ง มังกรออกจากถ้ำไปหาอาหาร ขณะที่มังกรเดินผ่านมา พวกเขาก็จะขว้างสมุนไพร ใส่หน้ามังกรเพื่อให้มันหลับเมื่อมังกรหลับแล้ว พวกเขาก็จะผ่าเอาหินวิเศษออกจากหัวมังกร และนำสิ่งล้ำค่าที่ขโมยมาได้นี้ ไปขายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย กษัตริย์หลายพระองค์ ในเอเชียจะประดับหินวิเศษของมังกร แม้ว่ามันจะมีความแข็งมาก จนไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถประทับตราจารึก หรือทำเครื่องหมายใดๆ ได้เลยก็ตามหินนี้มีสีขาวบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ


    มังกรอาจพบได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นทางของยุโรป หรือเอเชียก็ตามเรียกว่าที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่นั่นก็ต้องมีมังกรอยู่เป็นของคู่กันอยู่เสมอๆ มังกรนั้นมีหลายอย่างแตกต่างไปตามความเชื่อของคนในแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่วๆไปแล้วจะเห็นจุดเด่นของมังกรได้อย่างหนึ่งคือต้องเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังและบางครั้งมีอำนาจเวทย์มหาศาลและจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือมีปีกแล้วก็บินได้ซึ่งขนาดรูปร่างสีนั้นก็แตกต่างกันไป เช่น

   Gold Dragon ตัวนี้ก็จะมีสีทอง เป็นมังกรที่จะเรียกได้ว่าอยู่ฝ่ายเทพก็ไม่ผิด
   Black Dragon มังกรดำตัวนี้ก็จะมีอำนาจร้อยกาจมาก เป็นของพวกมาร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำ
   Tiamat เป็นราชาของพวกปีศาจ เป็นเจ้าแห่งขุมนรกทั้งเก้า(ของยุโรป) มีห้าหัว
   Mist Dragon ก็อยู่แถบน้ำตกใหญ่ๆ หรือหน้าผา หรือบริเวณที่มีหมอกลงจัด สีออกโทนขาว ฟ้า เทา



   มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดมีปีกพ่นไฟได้ตัวนี้อยู่ 2 แนวคิดด้วยกันคือ...
    1.มันเป็นสัตว์ในเทพนิยายโดยแท้ ไม่มีอยู่จริงซึ่งก็คือเหลวไหลทั้งเพนั่นเอง เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับมังกรเป็นเรื่องของจินตนาการ ซึ่งคนโบราณได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัตว์บางชนิด เช่นงู หรือสัตว์อื่นๆ ความเป็นไปได้มันมีอยู่แบบนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อกันในแนวคิดที่หนึ่ง

    2.เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริงๆบนโลกนี้ว่ากันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่เป็นไปได้ที่จะอธิบายว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มังกรบินได้ พ่นไฟได้หรือแม้แต่คุณสมบัติพิเศษของเลือดมังกรที่ใครได้อาบได้กินแล้วจะ ส่งผลพิเศษตามมาอีกร้อยแปดเนื่องจากตอนนี้เรามีหลักฐานเกี่ยวกับมังกรอยู่ น้อยมากนอกจากเรื่องเล่าต่างๆแล้ว ซากกระดูกฟอสซิล หรือหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับมังกรนั้นเราแทบจะไม่เคยพบกันเลย มันเป็นเพียงแนวคิดที่นำมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เพราะท่าทางมันเป็นไปได้และน่าเชื่อถืออยู่มาก


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=62#ixzz1HKnvINmx
.::ZIZ::.

    ซิซ(ziz) มหาวิบัติแห่งนภา ราชาแห่งท้องฟ้าตามคติฮีบรู   เป็นอสูรที่อยู่คติของยิวโบราณ (เอ๊ะ..งง ยังไงกันแน่ - - ก็มันไม่แน่ใจเลยลงทั้ง 2 อย่าง ทั้งยิว ทั้งฮิบรู)  ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีศักดิ์เทียบเท่าเบฮีมอท*และเลเวียธาน**ราชาแห่งแผ่นดินและท้องน้ำตามลำดับ มีปีกกว้างพอจะบดบังดวงอาทิตย์ และมีหน้าที่ปกปักษ์บรรดานกทั้งมวล ทั้งๆที่มีศักดิ์เทียบกันแต่ กลับไม่ดังเท่าอีกสองตัวแฮะ ตามเรื่องราวเค้าว่าเป็นนกยักษ์








อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=61#ixzz1HKnoVilW
.::LEPRECHAUN::.



    เลปพราคอน(Leprechaun) เป็นความเชื่อของชาวไอริชเป็นคนแคระที่มีรูปร่างเล็กมาก แต่งตัวค่อนข้างซอมซ่อแต่มิดชิดเนื่องจากอยู่ในเมืองหนาวบางครั้งอาศัยอยู่ในห้องเก็บไวน์ใต้ดิน บางครั้งในบ้านในไร่นา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแถบชนบทชานเมือง แถบเนินเขาสูงชอบช่วยเหลือคนในงานต่างๆ 


    ภูตที่ครอบครองทรัพย์สมบัติจำพวกทองเชื่อกันว่ามนุษย์จะได้ครอบครองทองโดยตั้งใจมองหาภูตนี้ที่ปลายของสายรุ้งภูตนี้ไม่เหมือนฮอบบิทนะ ตัวเล็กกว่า 3-4 เท่าแล้วอวัยวะอื่นๆคล้ายคนทุกประการ และชอบอยู่แอบในบ้านมนุษย์ แต่บางพวกก็อยู่กันเป็นกลุ่มใต้ดินที่เป็นโพรง...



อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=60#ixzz1HKnhjypY